
สวัสดีครับ.. เมื่อช่วงปลายเดือนธันวา ก่อนปีใหม่ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางไปเวียดนามมาครับ วันนี้พอมีเวลา ก็เลยอยากจะนำภาพถ่ายมาเล่าเรื่องให้ได้ฟังกันนะครับ
เนื่องจากถ่ายภาพมาเยอะมาก ในเรื่องนี้จึงขอคัดมาเล่าเรื่องเพียงแค่ครึ่งหนึ่งละกันนะครับ
( ชมภาพถ่ายทั้งหมด 784 ภาพ Thumbnails | Detail | Slide Show )
.
แผนที่ประเทศเวียดนาม
.
แผนที่ฮานอย บริเวณทะเลสาบคืนดาบ ในย่าน Old Quarter
(คลิ๊กที่จุดต่างๆ บนแผนที่เพื่อดูรายละเอียด)
จุดหมายปลายทาง และสถานที่สำคัญ
- ประเทศเวียดนาม (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) ทางตอนเหนือ
- ฮานอย – สะพานแดง, ทะเลสาบคืนดาบ, Old Quarter
- ฮาลอง – ล่องเรือฮาลองเบย์ (Halong Bay)
.
ลักษณะการเดินทาง ท่องเที่ยว
เดินทางจาก กรุงเทพฯ สู่ปลายทางที่ ฮานอย (เวียดนาม) ด้วยสายการบินต้นทุนต่ำ ท่องเที่ยวในตัวเมืองฮานอยด้วยการเดินเท้า และเดินทางไปค้างคืนต่างเมือง 1 คืนด้วยรถโดยสารประจำทาง
เดินเล่นแบบสบายๆ ชมบ้านเมือง ชีวิตคน อาคาร ยานพาหนะ ถนนหนทาง ไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ไม่ต้องกังวลกับเวลา และพกกล้องถ่ายรูปติดตัวไปด้วยตลอดครับ
.
ค่าใช้จ่าย (เดินทาง 2 คน)
- ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฮานอย คนละ 4,975 บาท (สามารถหาได้ถูกกว่านี้อีกครับ)
- ค่าใช้จ่ายในเวียดนาม 4 คืน 4 วัน คนละ 2,600 บาท (ค่าโรงแรม ค่ารถ ค่าอาหาร ฯลฯ ไม่รวมของฝาก)
.
สรุปการเดินทางคร่าวๆ
ออกจาก กทม. 18.00 ถึง ฮานอย 20.00
—— วันที่ 1 – จากฮานอย ไปฮาลอง ————————————————
- เช้า – นั่งมึนอยู่ในโรงแรม ไปไหนไม่ถูก
- เที่ยง – ออกจากโรงแรมเดินหาท่ารถไปฮาลอง
- บ่าย – ออกจากฮานอย ไปฮาลอง ซิตี้ ด้วยรถประจำทาง 170 กิโลเมตร
- ค่ำๆ – เดินเล่นที่ริมหาด ฮาลองซิตี้ กินอาหารค่ำ
—— วันที่ 2 – ล่องเรือฮาลองเบย์ คริสมาสต์อีฟฮานอย ——————————–
- เช้า – ตื่นมาดูบ้านเมืองที่ฮาลอง กินเฝอร้อนๆ
- สายๆ – ล่องเรือฮาลองเบย์ 4 ชั่วโมง
- บ่าย – ออกจากฮาลอง กลับฮานอย ด้วยรถประจำทาง 170 กิโลเมตร
- เย็น ค่ำ ดึก – หาของกิน แล้วเดินเล่นรอบทะเลสาบ (คืนคริสมาสต์อีฟ)
—— วันที่ 3 – เดินเล่นฮานอย ——————————————————-
- สายๆ – กินข้าวเช้า เดินเล่น
- บ่าย – เดินเล่นย่าน Old Quarter
- เย็น – นั่งเล่นร้านกาแฟ
- ค่ำ – หาข้าวเย็นกิน เดินเล่นในเมือง เดินเล่นรอบทะเลสาบอีกรอบ
—— วันที่ 4 – นั่งชิวร้านกาแฟ หาของฝาก ——————————————–
- สายๆ – กินข้าวเช้า ฝนตก นั่งเล่นร้านกาแฟ
- บ่าย – เดินเล่นในเมือง หาของฝาก
- เย็น – นั่งรถไปสนามบิน เครื่องออก 20.30 น. ถึง กทม. 22.10 น.
.
เริ่มเดินทางกันเลย…
เราไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ไปไกลถึงฮานอย ผมกับมาร์คเพิ่งตัดสินใจกันได้ว่าจะไปเพียงแค่ 2 วันก่อนวันเดินทางครับ จึงไม่ได้เตรียมตัวอะไรล่วงหน้าเลย ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในเวียดนาม ก็ยังไม่ได้หา เพราะต้องรีบปั่นงานให้เสร็จสำหรับนำไปพรีเซนต์ช่วงเช้าของวันเดินทางครับ
เอาละครับ จะเดินทางไกล แต่ยังไม่ได้เตรียมหาข้อมูลล่วงหน้ากันไว้ก่อน ดูสิว่าจะรอดกลับมาได้ไหม… ?
( ก็ต้องรอดสิครับ ไม่งั้นจะมีบรรทัดนี้ได้ไง 😛 )

หลังจากพรีเซนต์ความคืบหน้าโปรเจคเสร็จในช่วงเช้า ตอนบ่ายก็ออกเดินทางเลยครับ นัดมาร์คไว้ที่อนุสาวรีย์ฯ บ่าย 3 โมง เพื่อจะไปขึ้นรถเมล์กัน รถ ขสมก. (ยูโร 2 สีส้ม) สาย 551 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ค่ารถคนละ 32 บาท ประหยัดกว่า Taxi เยอะเลยครับ
.

บ่าย 4 โมงครึ่ง รถเมล์มาส่งถึงที่หน้า Terminal
.

ลองใช้ประตูหมุน เดินเข้า Terminal 😛
.

เดินเข้ามาแล้วก็ดูแผนที่ก่อนครับ จำทางเอาไว้จะได้ไม่หลง
.

เดินไปเช็คอินที่เค้าท์เตอร์นกแอร์
.

คนไม่เยอะมากครับ ทยอยกันมาเรื่อยๆ ส่งกระเป๋าที่จะโหลดลงใต้เครื่องที่นี่ สำหรับขอมีค่าให้เก็บไว้ที่ตัว เดินถือขึ้นเครื่องได้เลยครับ (อยากเห็นเครื่อง CTX จัง !!)
.

เช็คอินเสร็จแล้วก็เดินไปแลกเงินครับ แลกเงินบาทเป็น US Dollar เอาไว้ก่อน โชคดีที่ช่วงนี้ค่าเงินแข็ง 1 USD = 33 บาท (แลกมาคนละ 100 USD)
.


ผู้คนมากมายที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ
.

แลกเงินแล้วก็เดินผ่าน ตม. และ Duty Free เพื่อจะไปนั่งรอที่ Gate
.

ผ่านด่านตรวจอาวุธมาก็เจอ Gate
.

เดินลงไปรอที่ Gate ครับ
.

นั่งรอที่ Gate ไม่นานมากนักก็ขึ้นรถบัสเพื่อไปขึ้นเครื่องครับ
.

สำหรับสายการบิน Low Cost Airline ที่สุวรรณภูมินั้นจะต้องขึ้นรถบัสไปขึ้นเครื่องครับ ไม่ได้ใช้งวงช้าง
.

นกม่วง (สงขลา) ลำเล็กนิดเดียวเอง Boeing 737-400 HS-TDA “Songkhla”
.

บรรยากาศสนามบินยามเย็น
.

6 โมงกว่าๆ เครื่องบินก็เริ่มเคลื่อนตัวไปตามแท็กซี่เวย์ เริ่มมืดแล้วครับ
.

บรรยากาศภายในห้องผู้โดยสาร
.

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ขึ้นเครื่องบิน ตื่นเต้นดีครับ บอกไม่ถูกเลย แต่สำหรับมาร์คนั้นคงขึ้นมาจนชินแล้ว
เครื่อง Take Off ขึ้นมาก็มืดพอดี มองไปฝั่งทิศตะวันตกเห็นแสงสว่างที่เส้นขอบฟ้า โลกเราช่างกว้างใหญ่เสียจริง..
.
.
2 ชั่วโมง… ผ่านไป…
.
.

เวลา 2 ทุ่ม พวกเราก็เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาตินอยไบแล้วครับ เวลาเวียดนาม เท่ากับเวลาเมืองไทยเลย ไม่ต้องปรับนาฬิกา ทั้งๆ ที่ถ้าดูตามเส้นลองติจูดแล้ว เวียดนามอยู่ทางตะวันออกมากกว่าประเทศไทยตั้งเยอะ
.

เมื่อเดินผ่านด่าน ตม. หน้าดุออกมาได้แล้ว สิ่งแรกที่เราต้องทำคือ หาแผนที่ฟรี ! แต่..หาไม่ได้เลย เมืองนี้ไม่มีแผนที่ฟรีแจกหรือไง !! สุดท้ายก็ต้องหาซื้อล่ะครับ เลยเอาเงิน US Dollar ไปแลกเป็นเงินดองเลย เพื่อที่จะได้นำไปซื้อแผนที่ แล้วก็จะได้มีเงินดองติดตัวไว้ใช้ซื้อของในเวียดนามด้วยครับ (ซื้อแผนที่ราคา 10,000 ดอง หรือประมาณ 20 บาท)
.

สนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 40 กิโลเมตรครับ เพราะฉะนั้นเราต้องหาทางเข้าเมืองให้ได้
เมื่อเดินออกมาจาก Terminal ก็มี Taxi มาเสนอราคาว่าจะไปส่งที่ตัวเมืองฮานอยในราคา 5 USD แต่เรายังกล้าๆ กลัวๆ อยู่ เลยไม่ได้ตกลงไปด้วย ระหว่างนั้นก็มีคนขับรถตู้มาเรียก แต่สื่อสารกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย ได้ใจความมาว่าคิดค่าโดยสารคนละ 2 USD ครับ ก็เลยตกลง พอขึ้นไปบนรถ ปรากฏว่าผู้โดยสารเป็นคนไทยทั้งคันเลย
(กำลังตื่นเต้นกับการสื่อสารกับคนเวียดนาม เลยลืมถ่ายรูปรถตู้มาเลยครับ)
.

รถตู้มาจอดส่งที่ทะเลสาบ Hoan Kiem (หรือที่คนไทยเรียกกันว่าทะเลสาบคืนดาบ) บริเวณย่าน Old Quarter ซึ่งเปรียบได้กับบริเวณถนนข้าวสารของบ้านเรา ย่านนี้จะมีโรงแรมให้เราเดินเลือกกันได้ตามใจชอบเลยครับ Walk in ได้เลย
คืนนี้เราได้ที่พักในราคา 13 USD สภาพห้องดีมากๆ เพราะเป็นโรงแรมใหม่ ในห้องมีสัญญาณ Wifi ให้ใช้ด้วย โชคดีที่พก Laptop มาด้วย มีประโยชน์มากครับ เพราะจะได้ใช้หาข้อมูลสำหรับการเดินทางในวันต่อๆ ไป
.

เก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยก็ออกมาหาอะไรกิน แต่ฝนก็ตกลงมาซะงั้น.. เลยนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม หรือที่เรียกกันว่า “เฝอ” ใกล้ๆ กับที่พัก แล้วก็กลับที่พัก อาบน้ำ นอนครับ
.
.
————————————- นอน คืนที่ 1 (ฮานอย – Hanoi) ————————————-
.
.

ตอนเช้าตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย เพราะก่อนหน้านี้อดนอนนั่งทำงานมาหลายคืนแล้ว ที่โรงแรมมีอาหารเช้าให้ด้วย เยี่ยมเลยครับ
.

เช้านี้วางแผนการใช้เงินก่อนครับ แล้วก็เปิดเน็ตหาข้อมูลสำหรับการเดินทางต่อไป
.

ช่วงสายๆ ออกจากโรงแรม วันนี้จะเดินทางไปเมืองฮาลองซิตี้ครับ อยู่ห่างจากฮานอยไปทางตะวันออกประมาณ 170 กิโลเมตร
นักท่องเที่ยวส่วนมากจะนิยมซื้อ Package Tour จากฮานอยไปล่องเรือที่ฮาลองเบย์กัน มีให้เลือกทั้งแบบ One Day Trip และ ค้างคืน แต่เราอยากลองนั่งรถประจำทางไปเอง ดูสิว่าจะไปได้ไหม..
.

มาเที่ยวเวียดนามต้องหัดข้ามถนนให้ดีนะครับ เทคนิคคือต้องมีความมั่นใจ เดินข้ามถนนด้วยความเร็วคงที่ แล้วคนขี่มอเตอร์ไซต์เขาจะกะระยะหลบเราเองครับ เพราะฉะนั้นถ้าเราตกใจแล้วหยุดเดินเมื่อไหร่ล่ะก็.. โอกาสที่จะถูกชนก็มีสูงครับ
.

อยากจะเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแดง (Chuong Duong Bridge) แต่ก็เดินไม่ได้ครับ สะพานนี้ไม่อนุญาตให้คนเดินข้ามได้ เลยต้องจ้างมอเตอร์ไซต์รับจ้างให้ไปส่ง
.

ข้อมูลในเว็บต่างประเทศบอกว่า ให้ไปขึ้นรถที่สถานีขนส่ง Gia Lam อะไรสักอย่างก็ไม่รู้ เหมือนว่าจะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยวิธีนี้กันเลย ็คุยกับมอเตอร์ไซต์รับจ้างก็ไม่รู้เรื่องอีก เขาเลยมาส่งเราแค่ที่ตีนสะพาน ต้องเดินมั่วไปอีก 2 กิโลเมตรครับ
.

ไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นรถชนท้ายกัน 4 คันรวด … ฝั่งนู้นครับ … การจราจรที่เวียดนาม เลวร้ายมาก
.

เดินชมบ้าน ชมเมืองไปเรื่อยๆ ร้านอาหารที่ฮานอยเกือบทั้งหมดจะใช้โต๊ะ กับเก้าอี้เตี้ยๆ กันครับ ไม่เมื่อยกันหรือไง
.

และแล้วก็เดินมาถึงสถานีขนส่ง Gia Lam ซึ่งไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มองไปทางไหนก็มีแต่คนเวียดนาม
.

โชคดีที่เจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วพอจะฟังภาษาอังกฤษได้บ้าง เขาเลยช่วยออกตั๋วให้เราขึ้นรถคันนี้เพื่อไปลงที่เมืองฮาลองครับ
.

บรรยากาศภายในรถ ค่ารถคนละ 50,000 ดอง ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง (170 กิโลเมตร)
.

รถวิ่งมาได้ครึ่งทาง ก็มาจอดพักให้ลงไปกินข้าว เข้าห้องน้ำ อารมณ์เดียวกับรถทัวร์จอดแวะกลางทางที่นครสวรรค์เลยครับ
.

แต่สุขาที่นี่.. สุดยอดมาก สำหรับผู้ชายก็ยืนฉี่กันตรงนี้เลย
.

เราออกจากฮานอยช้าไปหน่อยครับ จึงทำให้มืดซะก่อนที่จะมาถึงฮาลองซิตี้ บรรยากาศสองข้างทางมืดและเปลี่ยวมาก แล้วเราก็ไม่สามารถสื่อสารกับคนที่อยู่บนรถได้เลย ไม่รู้ว่าจะต้องลงตรงไหน ไม่รู้ว่ารถจะเลยไปเมืองอื่นหรือเปล่า สองข้างทางก็ไม่ค่อยจะมีบ้านคน น่ากลัวมากๆ ครับ นั่งใจสั่นมาตลอดทาง.. แต่แล้วก็มาถึงจนได้ คนขับรถไม่ลืมครับว่ายังมีเราอยู่บนรถ เมื่อถึงแล้วก็จอดรถ และใช้ภาษามือสื่อสารมาให้เรารู้ว่าต้องลงได้แล้ว.. รถมาจอดส่งทิ้งเราไว้ที่กลางสี่แยกใหญ่นอกเมืองครับ จึงต้องนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างเข้าเมืองอีกคนละ 1 USD
.

มอเตอร์ไซต์ไปส่งที่ย่านโรงแรมเล็กๆ ในเมืองฮาลองซิตี้ เดินเลือกโรงแรม เก็บของเข้าห้อง แล้วก็รีบออกมาเดินเล่นเลยครับ
.

บริเวณชายหาด ริมอ่าวฮาลองนี้มีร้านขายของที่ระลึกมาตั้งเป็นแผงใหญ่เลยครับ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวไทยกันนี่เอง
.

เริ่มหิวแล้ว เดินไปหาร้านอาหาร
.

เดินผ่านคลีนิคทำฟัน.. มองเข้าไปเห็นเตียงคนไข้เลย โจ่งแจ้งมาก !!
.

และแล้วก็เจอร้านข้าว เป็นร้านข้าวแบบชาวบ้านๆ กินกันครับ ร้าน “ข้าว” ภาษาเวียดนามอ่านออกเสียงว่า Kerm
.

กับข้าวชุดใหญ่คนละ 2USD ไม่รู้ว่าถูกหรือแพง แต่รู้ว่าเยอะๆ มากๆ กินกันพุงกางเลย
.

กินข้าวเสร็จแล้วก็เดินไปดูของที่ซุปเปอร์มาเก็ตกัน ในเวียดนามไม่ค่อยมีร้านสะดวกซื้อเลยครับ เข้าใจว่าร้านนี้คงเปิดเพื่อขายของฝากให้นักท่องเที่ยวซะมากกว่า
.

เดินดูของกันอยู่นาน ก็มาจ่ายเงินที่หน้าร้านครับ
.

เดินเล่นอีกสักพัก อากาศเย็นสบาย ค่อนข้างไปทางหนาว แล้วก็กลับมานอนที่โรงแรมครับ คืนนี้ได้โรงแรมราคาประหยัดแค่ 7 USD เท่านั้น
.
.
[wp_ad_camp_1]
————————————- นอน คืนที่ 2 (ฮาลอง ซิตี้ – Ha Long City) ————————————-
.
.

เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมา อากาศหนาวๆ ออกมารับลมหนาวที่ระเบียงห้องพัก
.

วิวจากระเบียงห้องพัก
.

ทำธุระส่วนตัว เก็บของ จัดกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ลงมาด้านล่าง หน้าตาโรงแรมเป็นตึกแล้วแบบนี้ล่ะครับ
.

เดินข้ามถนนมานั่งกินอาหารเช้าครับ “เฝอ” ร้อนๆ กับอากากาศหนาวๆ เยี่ยมไปเลย !!
.

เช้าวันนี้เราจะไปล่องเรือในอ่าวฮาลองกัน (Ha long Bay) จากโรงแรม ก็นั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างมาที่ท่าเรือ ไม่ไกลมากครับ
.

ค่าเรือคนละ 30,000 ดอง (2USD)
.

ลงเรือแล้วครับ มีเรือมาจอดรอนั่งท่องเที่ยวเยอะมากๆ เป็นร้อยๆ ลำเลย
.

เรือเริ่มออกแล้ว .. ส่วนใหญ่เวลาลงเรือ เขาจะไปกันเป็นกรุ๊ปทัวร์ แต่เรานี่ไปกันแค่สองคน เลยต้องไปร่วมกับกรุ๊ปใหญ่ ทีนี้พวกเราก็เลยกลายเป็นตัวประหลาดสองตัวบนเรือนำนั้นไปเลย T_T แต่ก็ไม่เป็นไรครับ .. เพราะกัปตันเรือดูท่าทางเป็นมิตรกับเราสองคนมาก ถึงแม้จะคุยกันไม่รู้เรื่องเลยสักคำ
.

มองไปไกลๆ จะเห็นสะพานแขวนบ๋ายเจ่ย (Bai Chay) เพิ่งเปิดใช้มาไม่กี่ปีนี่เอง
.

ตอนที่เรือเริ่มออกจากฝั่ง ฝนตกลงมาปอยๆ สักพัก.. พอฝนเริ่มหยุด เลยได้ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือครับ
.

มีเรืออีกลำกำลังตามมาติดๆ
.

กัปตันเรือปีนขึ้นมาบนดาดฟ้า เพื่อมาทักทายกับเรา แต่ก็คุยกันไม่รู้เรื่อง พยายามอยู่นานก็ไม่สำเร็จครับ T_T มึนไปเลย
.

เรือจะจอดให้ลงไปชมถ้ำที่อยู่บนเกาะ เราต้องจำหมายเลขเรือเอาไว้ด้วยนะครับ เพราะมีเรือเยอะมาก เดี๋ยวขากลับจะขึ้นผิดลำ
.

ลงเรือแล้วก็เดินไปตามทาง
.

ปีนเขานิดหน่อย สบายมากครับ
.

เข้ามาในถ้ำแล้ว
.

ภายในถ้ำก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก เราไม่มีไกด์บรรยายให้ฟังด้วย ยิ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้แต่ว่าถ้ำพระยานครที่ประจวบฯ สวยกว่าเยอะเลยครับ 😛
.


บนเกาะมีจุดชมวิว จะเห็นว่ามีเรือนักท่องเที่ยวมาจอดเยอะเลย
.

มองไปไกลๆ ก็จะเห็นฝั่ง เป็นเมืองฮาลองซิตี้
.

เดินชมถ้ำเสร็จแล้วก็ขึ้นเรือเพื่อไปชมที่อื่นๆ ต่อ
.

มีเรือเล็กพายมาขายผลไม้
.

ระหว่างที่อยู่บนเรือ เราก็เดินสำรวจกันซะรอบเรือเลย เพราะไม่รู้จะไปนั่งตรงไหน ที่นั่งในเรือให้พวกกรุ๊ปทัวร์นั่งหมดแล้ว
.

ห้องน้ำบนเรือลำข้างๆ
.

ขึ้นไปนอนเล่นบนดาดฟ้าเรือครับ
.

ฮาลองเบย์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจาก UNESCO ด้วยนะครับ มีเกาะเล็กเกาะน้อยกว่า 700 เกาะในพื้นที่ทางทะเล 433 ตารางกิโลเมตร
.

เหมือนเขาตะปูมั้ยครับ..
.

กระชังเลี้ยงปลา
.

เรือจอดให้ลงไปชมกระชังเลี้ยงปลาครับ
.

เจ้าของกระชังเลี้ยงปลาหวังจะให้นักท่องเที่ยวซื้อ กุ้ง หอย ปู ปลา ขึ้นไปปรุงอาหารกันบนเรือครับ
.

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครซื้อเลยสักคน ได้แต่ดูอย่างเดียว .. เจ้าของกระชังปลาดูออกว่าเราเป็นคนไทย เลยพูดชื่อปลาเป็นภาษาไทยกับเราด้วย แต่ก็รู้แค่ไม่กี่ชนิด มาร์คเลยสอนการเรียกชื่อปลาให้ซะเลย 😛 แถมชื่อวิทยาศาสตร์ให้ด้วย 555+ มึนกันไปทั้งกระชังเลยครับ
.

กัปตันเรือก็เชียร์ให้ซื้ออย่างไม่เลิกลา คงเพราะอยากจะได้ค่าปรุงอาหารมั้งครับ
.

เมื่อไม่มีใครซื้อเลย ก็… ออกเรือ เดินทางต่อ
.

นี่ครับ กรุ๊ปทัวร์บนเรือของเรา มีแต่ลุงๆ ไม่มีสาวๆ เลยสักคน
.

นั่งเรือชมวิวไปเรื่อยๆ เที่ยงแล้วก็ยังไม่ค่อยมีแดด อากาศยังคงเย็นอยู่ทั้งวัน
.

ใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการล่องเรือชมฮาลองเบย์ คุ้มค่ามากๆ เลยครับกับราคาตั๋วเพียงแค่ 30,000 ดอง ( 2 USD หรือประมาณ 70 บาท)
.

ล่องเรือเสร็จแล้วก็กลับมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม แล้วก็ออกมานั่งรอรถเมล์ที่ป้ายครับ
.

เราต้องนั่งรถเมล์ไปที่ท่ารถ เพื่อที่จะต่อรถกลับฮานอย รถเมล์ท้องถิ่น มีนักเรียนเวียดนามขึ้นมาแน่นเลยครับ
.

มาลงที่สี่แยกนอกเมือง ที่เมื่อคืนนี้นั่งรถมาลง
.

เดินไปเรื่อยๆ อีก 200 เมตรจากสี่แยก ก็จะเห็นท่ารถ
.

เดินเข้าไปเลยครับ
.

ขอซื้อตั๋วรถกลับฮานอยหน่อยคร๊าบบ…
.

รถโดยสารประจำทางที่ท่ารถฮาลอง
.

รถออกแล้ว เราก็นั่งดูบรรยากาศสองข้างทางไปเรื่อยๆ
.

รถมาจอดแวะกลางทางอีกแล้วครับ คราวนี้อารมณ์เหมือนแม่กิมไล้ที่เพชรบุรี
.

ระหว่างทาง ก็นั่งดูชีวิตคนเวียดนามไปเรื่อยๆ
.

ร้านขายแว่นตา
.

เข้าเขตฮานอยแล้วครับ สะพานที่เห็นมีชื่อว่า Long Bien Bridge
.

รถวิ่งมา 3 ชั่วโมงกว่าๆ ก็กลับมาถึงฮานอย กลับมาพบการจราจรที่วุ่นวายเหมือนเดิม
.

รถบนถนนที่ฮานอยนี่เขาจะบีบแตกันตลอดนะครับ ขับไปบีบไป แบบไม่มีเหตุผล แรกๆ จะรำคาญมาก แต่อยู่ๆ ไปจะชินไปเองครับ
.

รถมาจอดส่งที่สถานีขนส่ง BX. Luong Yen
.

นี่คือรถคันที่เรานั่งมาครับ
.

พอลงรถแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ คิดไว้ว่าจะกลับไปนอนโรงแรมเดิมที่มานอนคืนแรก
.

คืนนี้จะเป็นคืนคริสมาสต์อีฟครับ ก็เลยได้เห็นซานต้าตัวน้อยๆ ออกมาปรากฏตัว
.

เดินไปโรงแรมเดิม ปรากฏว่าคืนนี้ห้องพักเต็มหมดแล้ว
.

ก็เลยต้องไปหาโรงแรมอื่นครับ ได้ห้องใหญ่มาก แต่ว่าเก่า และดูวังเวงไปหน่อย
.

เก็บของเข้าที่พัก ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ออกมาหาอะไรกินกันครับ วันนี้ขอลองนั่งกินข้างถนนเหมือนเดิม เขาเรียกกันว่าอะไรไม่รู้ แต่ดูเหมือนกับหมูกะทะที่บ้านเรา
.

นั่งกินกันข้างถนนแบบนี้ล่ะครับ มีอยู่หลายร้านให้เลือกเลย
.

บรรยากาศยามค่ำคืนในย่าน Qld Quarter
.

ตุ๊กตาสาวเวียดนาม
.

ร้านอาหารทะเลข้างถนน
.

ร้านแบรนด์เนมกำลังเตรียมเปิดตัวในฮานอยเร็วๆ นี้
.

ค่ำคืนนี้คึกคักมากเป็นพิเศษครับ หนุ่มสาวชาวเวียดนามจะออกมาเดินรอบทะเลสาบคืนดาบกัน
.

มานั่งพักที่บาร์ริมถนน
.

สั่งน้ำผลไม้มา 1 แก้ว นั่งดูแผนที่
.

ยิ่งดึก รถก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะมีมหกรรมอะไรเกิดขึ้น
.

บริเวณวงเวียนทิศเหนือของทะเลสาบคืนดาบ
.

มีตำรวจมาดูแลความเรียบร้อย
.


สาวเวียดนามน่ารักมั้ย.. 😛
.


มอเตอร์ไซต์วิ่งกันเต็มถนนเลย
.

ว่าจะซื้อลูกโป่งไปให้เด็กสักใบ 😛
.

บนทางเดินรอบทะเลสาบคืนดาบจะมีแม่ค้าเอาของมาวางขายครับ และนี่คือหมึกย่าง กลิ่นหอมเชียว
.

ของที่ระลึกทำจากสนสามใบ
.

คืนนี้อากาศเย็นมากครับ อยากให้กรุงเทพฯ อากาศเย็นแบบนี้บ้าง
.

เราเดินตามทางเดินรอบทะเลสาบไปเรื่อยๆ คนเยอะมากครับ
.

สงครามสงบแล้ว แต่เวียดนามยังเกลียดอเมริกาอยู่
.





อนุสาวรีย์ของพระเจ้าลี้ไทโต (Ly Thai To) กษัตริย์เวียดนามผู้ก่อตั้งกรุงฮานอย
.

วัยรุ่นเวียดนามเล่นไฟเย็นกันอย่างสนุกสนาน เราใช้เวลาเดินเรื่อยเปื่อยรอบทะเลสาบอยู่นานจนดึก แล้วก็เดินกลับที่พักครับ
.

ผ่านร้าน DVD เลยเข้าไปดู.. ที่นี่เขาเอาหนังหลายๆ เรื่องของพระเอกดังๆ แต่ละคนมารวมไว้ในแผ่นเดียวกัน อย่างที่เห็นในรูปมี DVD ของ Brad Pitt ก็จะมีแต่หนังที่ Brad Pitt แสดง เอามารวมกันไว้หลายๆ เรื่องให้อยู่ใน DVD แผ่นเดียว ไม่รู้ว่าที่เมืองไทยทำแบบนี้หรือเปล่า ?
.
.
————————————- นอน คืนที่ 3 (ฮานอย – Hanoi) ————————————-
.
.

เช้านี้ตื่นมาด้วยความสดชื่น ออกมาชมวิวที่ระเบียงห้องอีกเช่นเคย
.

แล้วก็ลงมาด้านล่างครับ เห็นป้ายโปรโมชั่นของนกแอร์ตั้งอยู่
.

กินอาหารเช้าที่โรงแรมจัดให้ครับ โต๊ะสวย แต่ให้กินแค่นิดเดียวเอง (ลืมถ่ายรูป)
.

กินเสร็จแล้วก็ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม แล้วก็ออกไปเดินเล่น หาที่พักใหม่ด้วยครับ ไม่นอนที่นี่แล้ว
.

งอบ หรือหมวกของเวียดนาม เป็นเอกลักษณ์ของประเทศนี้เลย
.

ในเวียดนาม เราจะเห็นขนมปังฝรั่งเศสวางขายกันทั่วไปตามข้างถนน มีมาตั้งแต่สมัยที่เวียดนามเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสแล้วครับ แต่คนเวียดนามจะนำขนมปังมาใส่ไส้ ประยุกต์เป็นอาหารลักษณะเฉพาะของเวียดนามเอง
.

หน้ากาก
.

เดินหาที่พักใหม่ไปเรื่อยๆ
.

รถสามล้อสำหรับแขกของโรงแรมครับ ที่เวียดนามมี Sofitel ด้วย
.



สินค้าหลายๆ อย่างของไทยก็ถูกนำเข้ามาขายในเวียดนาม ทั้งเครื่องดื่ม ผงซักฟอก และของใช้อื่นๆ
.

เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอที่พักใหม่ คราวนี้หรูเลยครับ ไหนๆ ก็เป็นคืนสุดท้ายในเวียดนามแล้ว ขอสบายหน่อยก็แล้วกัน ห้องพักของโรงแรมนี้ราคา 35 USD แต่ใช้ความสามารถพิเศษทำหน้าเศร้าๆ เล็กน้อย ต่อรองได้จนเหลือ 22 USD (700 กว่าบาท) แต่ก็ยังถือว่าเป็นราคาที่แพงที่สุดในการเดินทาง 4 คืน
.

เก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยแล้วก็ออกมาเดินเล่นต่อ ที่เวียดนามนี่ก็ฮิตซีรี่เกาหลีไม่แพ้ไทยนะครับ
.

หนังสือแฟชั่นก็มี
.

และนี่คือรถ Snack Car น่าจะเป็นของเกาหลี มีขนมอร่อยๆ ขายอยู่หลายเมนู
.


ไอศกรีมของ Snack Car นี่อร่อยมากครับ โคนก็ทำจากแป้งทองม้วน หอม อร่อยมากกกก…
.

เดินมานั่งพักริมทะเลสาบคืนดาบ ตามม้านั่งบริเวณรอบๆ ทะเลสาบ เราจะเห็นหนุ่มสาวชาวเวียดนามหลายคู่มานั่งจู๋จี๋กันอย่างดูดดื่มเลยทีเดียว
.

ช่วงบ่ายวันนี้ เราจะเดินเล่นในย่าน Old Quarter ตามเส้นทางแนะนำในหนังสือ Lonely Planet ครับ เริ่มต้นกันที่สะพานแดง
.

สะพานแดง เป็นสะพานข้ามไปยังวัดหงอกเซิน ที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบคืนดาบ
.



ค่าบัตรเข้าชมวัดหงอกเซิน (Ngoc Son Temple) ราคา 3,000 ดอง (7 บาท)
.

เดินขึ้นมาบนสะพาน
.

บรรยากาศภายในวัดบนเกาะกลางทะเลสาบครับ วันนี้นักท่องเที่ยวไม่มากนัก
.


เดินเข้าไปภายในอาคารเล็กๆ บรรยากาศชวนทำให้ย้อนเวลากลับไปในสมัยนั้นเลย
.


นักท่องเที่ยวที่มากันเป็นครอบครัวครับ ดูอบอุ่นดีจัง
.

เต่ากับดาบวิเศษ
.





หลังจากที่ชมวัด และสะพานแดงแล้วเราก็เดินดูบ้านเมืองไปตามถนนเล็กๆ ในเมือง
.

สาวเวียดนามในชุดประจำชาติ
.

อ้าวว .. ชนกันอีกแล้ว ชิ้นส่วนหลุดกระจายเลย
.

เปา
.






เดินเล่นไปเรื่อยๆ จนหลงเข้าไปในตลาด แม่ค้าร้านนี้เลยเรียกให้แวะกินข้าวก่อน ซึ่งเราก็หิวกันพอดี
.

มีกับข้าวให้เลือกหลายอย่างเลยครับ แต่ว่าแม่ค้าเค้าจะตักทุกๆ อย่าง รวมๆ กัน ราดจานข้าวมาให้เราเลย
.

ตักมาให้จนล้นจานเลยครับ จานละ 15000 ดอง (ประมาณ 1 USD หรือ 33 บาท)
.

กินอิ่มแล้วก็เดินดูตลาดต่อไป
.

บรรทุกได้เยอะดีจริงๆ
.

ซื้อพวงกุญแจ
.



ที่ฮานอยมีร้านเกมส์ด้วยนะครับ ทั้ง PC และ Console เลย แต่ว่าก็ไม่ได้มีเยอะเหมือนในกรุงเทพฯ
.




มีร้าน adidas ด้วยครับ
.

ตำรวจจับรถมอเตอร์ไซต์ที่จอดในที่ห้ามจอด
.

เดินมาเรื่อยๆ จนถึงโบสถ์ Joseph’s Cathedral
.

ที่ลานหน้าโบสถ์มีนักเรียนเวียดนามมาจับกลุ่มเล่นกัน คงเป็นเวลาเลิกเรียนพอดี
.


นักเรียนสาวเวียดนาม
.

หลังจากที่เดินดูสาวเวียดนาม เอ้ยย.. เดินดูบ้านเมืองจนเหนื่อยแล้ว ก็เลยมาหาที่นั่งพักในร้านกาแฟครับ
.

ร้านกาแฟบริเวณวงเวียน ทิศเหนือของทะเลสาบคืนดาบ อยู่ชั้น 3 วิวดีเลยครับ

นั่งยาว ไม่ลุกไปไหนเลย
.

นั่งชิวกันอยู่ในร้านกาแฟจนค่ำ
.

หลายชั่วโมงผ่านไป ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ร้านกาแฟ แล้วก็เดินต่อ
.

แผงหนังสือในฮานอย มีโคนันภาษาเวียดนามด้วยครับ
.

เมื่อวานติดใจหมูกะทะ วันนี้เลยขอกินอีกละกัน แต่ลองเปลี่ยนร้าน ปรากฏว่าร่อยสู้ร้านคืนก่อนไม่ได้เลย
.
.
————————————- นอน คืนที่ 4 (ฮานอย – Hanoi) ————————————-
.
.

เช้าวันนี้ตื่นสายๆ ลงมากินอาหารเช้าฟรีของโรงแรม หรูดีครับ 😛
.

และแล้วเช้าวันสุดท้ายในเวียดนาม ฝนก็ตกลงมา อากาศก็หนาวเข้าไปอีก
.

Tourist Information Center อยู่ตรงข้ามกับโรงแรมที่เราพักเลยครับ (ทิศเหนือของทะเลสาบคืนดาบ) สามารถเข้าไปขอข้อมูลการท่องเที่ยวด้าน และแผนที่ฟรีได้ เจ้าหน้าที่ด้านในยิ้มแย้มดีมากเลย แต่เรามารู้ก็วันสุดท้ายซะแล้ว T_T ไม่ทันได้สังเกตุกันเลย
.

ฝนตก ก็เลยต้องมานั่งชิวกันอีกที่ร้านกาแฟร้านเดิม อากาศเย็นมากๆ
.

นั่งอยู่ในร้านกาแฟนานหลายชั่วโมง จนฝนเริ่มหยุด จึงออกไปเดินในเมืองกันอีกรอบ
.








มื้อบ่ายวันนี้ก็มากินอะไรสักอย่างตามรูปนี้ล่ะครับ เรียกไม่ถูก ดูเหมือนจะเป็นสเต็ก กินกับขนมปังฝรั่งเศส
.

เดินหาซื้อขอฝาก
.


เดินดูของฝากกันจนเย็น แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย กลับมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม แล้วก็เดินไปท่ารถตู้ที่จะไปสนามบินนอยไบครับ
.

ผ่านทะเลสาบคืนดาบเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับมาอีกมั้ย ยังไม่อยากกลับกรุงเทพฯ เลย
.

ก่อนจะถึงท่ารถตู้ คนขับ Taxi มาดักรอชวนให้เรานั่งไปสนามบินในราคา 5 USD ก็เลยตกลงไปด้วยครับ
.

เค้าท์เตอร์นกแอร์เปิดแล้ว
.

ไฟลท์ DD3209 ไปกรุงเทพฯ ออกเวลา 2 ทุ่มครึ่ง กรุงเทพฯ อยู่ห่างจากที่นี่ 2 ชั่วโมง มันช่างใกล้กันเหลือเกิน ยังไม่อยากกลับเลย เฮ้อ
.

เดินถือหมวกขึ้นเครื่องเลย
.

มานั่งรอที่ Gate 6 ครับ
.

Gate เปิดแล้วก็เดินขึ้นเครื่อง
.

นกม่วง สงขลา Boeing 737-400 ลำเดิม
.

ข้างๆ มีเครื่องของการบินไทยจอดอยู่
.

เครื่องออกจากฮานอย 2 ทุ่มครึ่ง มาถึงกรุงเทพฯ 4 ทุ่มกว่าๆ ครับ
.

กลับถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
.

เฮ้อๆ ถึงกรุงเทพฯ แล้วเหรอนี่ อุณหภูมิต่างกันมาก ถอดเสื้อกันหนาวแทบไม่ทัน .. เดินขึ้นมาผ่าน ตม. รับกระเป๋าที่ช่อง 20
.

เดินขึ้นไปชั้น 2 หาข้าวกิน เอารูปทั้งหมดจากทุกกล้องมารวมกัน
และแล้วการเดินทางในเวียดนาม 4 คืน 4 วัน ก็จบลง.. หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตในฮานอย ได้เดินทางไปฮาลอง ได้หาของกินแปลกๆ ได้นั่งชิวๆ ในร้านกาแฟลืมโลก ตัวสั่นกับอากาศหนาวๆ ในที่สุดเราก็สามารถรอดชีวิตกลับมาได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับเรื่องราวมากมาย เรื่องที่น่าประทับใจ เรื่องตื่นเต้น เรื่องสนุกๆ และประสบการณ์การเดินทางที่มีค่า รวมถึงความรู้ในเรื่องราวของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามที่มีมากขึ้น
หลายคนที่เคยไปเวียดนามมาแล้วจะบอกว่า คนเวียดนามไม่ค่อยเป็นมิตร เอาเปรียบนักท่องเที่ยวทุกอย่าง เมืองก็วุ่นวายไม่น่าอยู่เลย.. ใช่แล้วครับ มันเป็นเรื่องจริงอย่างที่หลายคนบอกจริงๆ แต่ถ้าเราเปิดใจ ไม่คิดมาก ยอมรับความแตกต่างในวัฒนธรรม และระมัดระวังตัว ก็จะสามารถท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุขครับ
ขอบคุณนะครับ ที่ได้ติดตามอ่านบันทึกการเดินทางของผมตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดนี้
โอกาสหน้า พร้อมจะไปด้วยกันอีกไหมครับ ?
สวัสดีครับ 😛
( ชมภาพถ่ายทั้งหมด 784 ภาพ Thumbnails | Detail | Slide Show )
.
ข้อแนะนำที่น่าจะเป็นประโยชน์ จากประสบการณ์การเดินทางครั้งนี้
- การเดินทางไปเวียดนาม ไม่ต้องขอวีซ่า เพียงแค่มีหนังสือเดินทาง (Passport) ก็สามารถเดินทางไปได้เลย
- การซื้อตั๋วเครื่องบิน ปัจจุบันมีสายการบินต้นทุนต่ำเปิดบินในเส้นทาง กรุงเทพฯ (BKK) – ฮานอย (HAN) โดยจะมีโปรโมชั่นออกมาเป็นระยะๆ โดยที่เราจะมีสิทธิ์ซื้อตั๋วไป-กลับ ได้ถูกที่สุดในราคาประมาณ 3,300 บาท (ม.ค. 2551)
- ราคาตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฮานอย ของนกแอร์ และ Air Asia ราคาพอๆ กันครับ
- นกแอร์ ซื้อตั๋วทางอินเตอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องมีบัตรเครดิต สามารถไปชำระได้ที่ร้าน 7-Eleven ใกล้บ้านคุณ หรือตู้ ATM ก็ได้ / สามารถเลือกที่นั่งที่ต้องการได้
- Air Asia การซื้อตั๋วทางอินเตอร์เน็ตจำเป็นต้องมีบัตรเครดิต / เลือกที่นั่งก่อนไม่ได้
- ควรเตรียมตัวหาข้อมูลการเดินทาง ท่องเที่ยว จากอินเตอร์เน็ต และหนังสือไกด์บุ๊คให้พร้อม
- การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง มีหลายวิธี รถเมล์ 5,000 ดอง (ถูกมาก) / รถตู้ 2 USD / Taxi ไม่เกิน 10 USD
- สนามบินอยู่ห่างจากเมืองประมาณ 40 กิโลเมตร
- ราคาของโรงแรมราคาประหยัดย่าน Old Quarter อยูที่ 10 – 15 USD น้ำอุ่น ทีวี Wifi อาหารเช้า
- โรงแรมที่เวียดนามจะยึด Passport เอาไว้ จ่ายค่าห้องตอนเช็คเอ้าท์
- ตอนเช็คเอ้าท์จากโรงแรม อย่าลืมเรียกคืน Passport
- เอาเงินบาทไปแลกเป็นเงิน US Dollar ที่กรุงเทพฯ
- นำเงิน US Dollar ไปแลกเงินดองที่สนามบินฮานอย ไม่ต้องแลกมาเยอะ เพราะเราสามารถใช้ US Dollar จ่ายค่าโรงแรม ค่ารถ ค่า Taxi ในฮานอยได้
- เมื่อไปถึงฮานอย ควรไปศึกษาข้อมูลการท่องเที่ยวได้ที่ Tourist Information Center ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบคืนดาบ และรับแผนที่ฟรีได้ที่นี่
- การไปเที่ยวฮาลองเบย์ (Halong Bay) แนะนำให้ซื้อทัวร์จากโรงแรม หรือร้านขายทัวร์ในฮานอยได้เลย One Day Trip ราคาประมาณ 15 USD ไม่ควรไปเองแบบผม ถึงค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า แต่ก็ถูกกว่ากันนิดเดียว ไม่คุ้มเมื่อเทียบกับความสะดวกสบายที่จะได้รับ
- สามารถต่อราคาสินค้า และของที่ระลึกได้แบบสุดๆ ลดได้มากกว่าครึ่ง
- เป้ Backpack ราคาถูกกว่าที่จตุจักรมาก
- คนเวียดนามดูไม่ค่อยเป็นมิตร จ้องแต่จะเอาเงินจากเราให้ได้มากที่สุด โปรดใช้ความระมัดระวังในการใช้เงิน
- อย่าเดินข้ามถนนแบบลังเล ต้องมีความมั่นใจ เดินด้วยความเร็วคงที่ ห้ามหยุด
- สถานที่ห้ามพลาดในฮานอย ทะเลสาบคืนดาบ สะพานแดง โชว์หุ่นกระบอกน้ำ สุสานโฮจิมินห์ (แต่ว่าเราพลาด)
- ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม หรือเห็นว่าข้อมูลผมผิด ช่วยแนะนำเพิ่มเติมได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ
[wp_ad_camp_1]